จอร์แดน

จอร์แดน (Jordan) ประเทศที่ไม่ได้มีดีแค่ทะเลทราย

จอร์แดน (Jordan) ประเทศที่ไม่ได้มีดีแค่ทะเลทราย

จอร์แดน
จอร์แดน ถือเป็นประเทศศูนย์กลางแห่งมิตรภาพแห่งตะวันออกกลาง เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สถานที่โมเสสเสียชีวิต และเป็นแหล่งรวมอารยธรรมของหัวเมืองเอกในอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่กว่า 2,000 ปีมาแล้ว จอร์แดน เป็นดินแดนที่ถูกกล่าวอ้างในพระคัมภีร์ ไบเบิล (Bible) ว่าเป็นเมืองที่สาบสูญและลอว์เรนซ์แห่งอาระเบีย จอร์แดน เป็นประเทศที่มีมนต์ขลังและไม่ได้เป็นประเทศที่มีแค่ความโรแมนติกและความลึกลับเท่านั้นแต่จอร์แดนยังมีอะไรรอให้เราได้ค้นหาอีกมากมาย รับรองว่าเมื่อคุณได้มาเยือนแล้วจะไม่ผิดหวัง โดยเฉพาะถ้าคุณลองได้มาเยือนโบราณสถานที่ได้รับให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัจรรย์ของโลก ถ้าพร้อมแล้ว     งั้นเรามาเริ่มที่สถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกกัน……. 😉  😉  ➡  ➡

สถานที่แห่งนี้ใครที่ได้ไปเยือนจอร์แดนแล้วไม่ได้ไปสถานที่แห่งนี้ถือว่าไปไม่ถึง จอร์แดน เลยก็ว่าได้ แถมยังเป็นที่นิยมของเหล่านักท่องเที่ยวอีกด้วย โม้มาขนาดนี้ทุกคนคงเดาออกกันแล้วอย่างแน่นอนว่าสถานแห่งนี้คือที่ไหน ก็คงหนีไม่พ้น มหานครศิลาทรายสีชมพู หรือ เพตรานั้นอง……… 😉  😎  😀

เพตรา (Petra) หรือ มหานครศิลาทรายสีชมพู หรือ Red Road City

เพตรา จอร์แดนเพตรา (Petra) สัญลักษณ์แห่งประเทศจอร์แดนย่อมเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก “เพตรา” (Petra) เมืองในหุบเขากลางทะเลทราย ที่สลักเนื้อหินเข้าไปเป็นที่อยู่อาศัยตั้งแต่เมื่อสองพันกว่าปีก่อน

เมือง เพตรา หรือ นครศิลาสีกุหลาบ เมืองที่ถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของผู้คนและสูญหายไปจากแผนที่นานนับพันปี ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาที่สูงชันประดุจเป็นปราการอัน เมืองเพตราถูกสร้างขึ้นโดยชาวนาบาเทียน (Nabatean) ราว 300 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรแห่งนี้ยอมอ่อนน้อมต่อจักรวรรดิโรมัน และถูกใช้เป็นจุดแวะพักของขบวนพ่อค้าคาราวานในทะเลทรายแถบนี้

เพตราตั้งอยู่ในทะเลทรายทางใต้ของประเทศจอร์แดน เพตราเคยเป็นเมืองหลวงของพวก นาเบเธียนมา ตั้งแต่ศตวรรษที่4 ก่อนคริสตกาลทำเล ที่ตั้งของเมืองอยู่กึ่งกลางของเส้นทางการค้าคาบสมุทรอาระเบีย-ลุ่มแม่ น้ำไนล์ และปาเลสไตน์-ลุ่ม แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส เลยไปจนถึงอินเดีย จึงทำให้เมืองแห่งนี้เป็นศูนย์กลางเส้นทางการค้าทางบก ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวโรมันได้เข้ามายึดครอง จนกระทั่งในปี 363 ได้เกิดแผ่นดินไหวจนทำให้บ้านเรือนภายใน เมืองพังทลายลงมาประกอบกับในสมัยนั้นมีการเปิดเส้นทาง การค้าขายทางทะเลที่อ่าวสุเอช ชาวเมืองจึงพากันละทิ้งเมืองไปอยู่ที่อื่น เพตรากลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด

เมื่อเวลาผ่านไป ทรายในทะเลทรายได้ปลิวมาปกคลุมเมืองทั้งเมือง จนหายไปจากแผนที่ นานนับกว่าพันปี แต่ในที่สุดปี 1813 จอห์น เลวิช เบอร์คฮาร์ดท์ นักเดินทางชาวสวิสได้มาพบนครแห่งนี้ จึงเริ่มปรากฏแก่สายตาชาวโลกอีกครั้งและในปี 1985 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้ เพตรา เป็นเมืองมรดกโลก เพตรา ถูกจัดให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจากการจัดอันดับของ New 7 Wonders Foundation ในปี 2001 ร่วมกับสิ่งมหัศจรรย์อื่นๆ อย่างกำแพงเมืองจีน พีระมิด และทัชมาฮาล

ข้อแนะนำ: นักท่องเที่ยวจะต้องเดินเท้าผ่านตรอกผาเล็กๆ ที่กว้างแค่รถม้าวิ่งสวนกันได้ ก่อนจะเข้าไปสัมผัส “เมืองโบราณ” ที่สร้างอยู่ในหุบเขา

นี้แค่สถานที่แรกยังสวยขนาดนี้ รับรองว่าสถานที่ต่อไปคงไม้แพ้กันเราจะพาทุกท่านไปพบเสา!!เป็นพันๆต้น

นครเจอราช (JERASH) หรือ เมืองพันเสา

จอร์แดน

นครเจอราช เมืองโบราณตั้งแต่ยุคโรมัน ที่เต็มไปด้วยเสาหิน สนามประลอง มหาวิหารตามแบบฉบับโรมัน ถ้าพูดถึงเสาโรมันหลายคนอาจคิดว่ามีแค่ในกรีซหรืออิตาลีเท่านั้น แต่ที่ไหนได้ประเทศอย่าง จอร์แดนก็มี เจอราซ ได้ชื่อว่า “เมืองพันเสา” ก็เพราว่าที่นี้นั้นจะมองไปมุมไหน จุดไหน ก็เต็มไปด้วยด้วยเสาหินโรมันมากมายนับไม่ถ้วนนั้นเอง

นครเจอราช เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางสถาปัตยกรรมโบราณ ที่มีชื่อเสียงของประเทศ จอร์แดน นครเจอราช (JERASH) หรือ “เมืองพันเสา”เป็นอดีต 1 ใน 10 หัวเมืองเอกตะวันออกอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน สันนิษฐานว่าเมืองนี้น่าจะถูกสร้างในราว 200 – 100 ปีก่อนคริสตกาลเดิมทีในอดีตเมืองแห่งนี้ชื่อว่า ในปี ค.ศ. 749 นครเจราช แห่งนี้เจอแผ่นดินไหวหลายครั้งกระทั้ง ครั้งใหญ่สุดได้ถล่มและทำลายเมืองไปอย่างน่าเสียดาย นคร เจราชกลายเป็นเมืองที่ถูกลืมไปเป็นพันปีและถูกทิ้งร้างจนมีคนมาขุดพบในค.ศ.1878 รัฐบาลจอร์แดนได้กลับมาฟื้นฟูบูรณะนครโรมันแห่งนี้อีกครั้ง นั่นจึงทำให้ความวิจิตรงดงามของเมืองโรมันโบราณกลับมาเผยโฉมต่อโลกอีกครั้ง เมืองพันเสาแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เสา แต่ยังมีจุดต่างๆอีกเช่น ซุ้มประตูกษัตริย์เฮเดรียน เป็นซุ้มประตูเมืองอันยิ่งใหญ่ หรือ สนามแข่งม้าฮิปโปโดรม

ต่อมาเราจะเดินทางไปยังสถานที่ต่อไปกันหรือยัง ถ้าพร้อมก็ไปกันเลย…..

ทะเลทราย “วาดิรัม” (Wadi Rum)

จอร์แดน
Wadi Rum Protected Area – UNESCO World Heritage Centre

ทะเลทรายวาดิรัมแห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า “หุบเขาแห่งพระจันทร์” (The Valley of the Moon) วาดิรัมมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ว่ากันว่ามีมนุษย์อยู่อาศัยมาแล้วตั้งแต่ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล (นับถึงตอนนี้ก็ราว 1 หมื่นปี) แม้ว่าจะมีสภาพแวดล้อมแห้งแล้ง หาสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ยากก็ตาม

ในทะเลทรายวาดิรัมมีภาพเขียนฝาหนังของมนุษย์ยุคโบราณหลายจุด แสดงให้เห็นชีวิตของคนในอดีตว่าอยู่ในแถบนี้กันอย่างไรบ้าง

ทะเลทรายวาดิรัม มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อนายทหารชาวอังกฤษ T.E. Lawrence มาสร้างพันธมิตรกับชาวเผ่าทะเลทรายในแถบนี้ เพื่อลุกฮือขึ้นจากอำนาจการปกครองของอาณาจักรออตโตมัน (ตุรกี) โดยใช้ทะเลทรายแห่งนี้เป็นฐานบัญชาการสู้รบด้วย (เหตุการณ์ตอนนี้อยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Lawrence of Arabia) ในทะเลทรายวาดิรัมจึงมีอนุสรณ์ระลึกถึง Lawrence อยู่หลายจุดปัจจุบัน ทะเลทรายวาดิรัมถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ จอร์แดน

ทะเลสาบเดดซี (Dead Sea Lake)

จอร์แดน Dead sea

เดดซี เป็นทะเลสาบที่อยู่ระหว่างประเทศจอร์แดนและอิสราเอล โดยอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลมากที่สุดในบรรดาทะเลทั้งหลาย สาเหตุที่เรียกว่าเดดซีเพราะทะเลสาบแห่งนี้ไม่มีทางออกสู่ทะเลแห่งอื่น เมื่อเวลาผ่านไปน้ำในทะเลสาบระเหยขึ้น แต่เกลือยังตกค้างอยู่ในบริเวณเดิมทำให้น้ำในทะเลสาบเดดซีมีความเค็มมากกว่า น้ำทะเลปกติถึง 8.6 เท่า เลยถูกขนานนามทะเลสาบที่เค็มที่สุดในโลก จึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ทำให้ถูกตั้งชื่อว่า “เดดซี” หรือทะเลสาบมรณะนั่นเองที่ทะเลสาบแห่งนี้นักท่องเที่ยวสามารถลอยตัวในทะเลเดดซีได้สบายๆเนื่องจากความเข้มข้นของเกลือสูงนั้นเอง เกลือและโคลนดำจากทะเลสาบ เดดซี ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุ มีคุณประโยชน์อย่างยิ่งทั้งทางด้านการรักษาโรคและเสริมความงาม จึงมีผู้นำมาใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย

ภูเขาเนโบ (Mount Nebo)

mount nebo จอร์แดน
mount nebo, Jordan

จอร์แดน เป็นประเทศอารยธรรมเก่าแก่หลายพันปี และดินแดนแถบนี้ในอดีตเป็นที่อยู่ของชาวยิว ซึ่งตำนานของชาวยิวและชาวคริสต์จากพระคัมภีร์ไบเบิลก็มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจอร์แดน ด้วย (แม้จะไม่เยอะเท่าอิสราเอลที่เป็นนครศักดิ์สิทธิ์ของทั้งชาวยิวและชาวคริสต์ก็ตาม)

ใครที่เคยศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมา ไม่ว่าจะนับถือศาสนาคริสต์ เคยเรียนโรงเรียนคริสต์ หรือสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ด้วยตัวเอง ถ้ามาถึงจอร์แดนแล้วก็ไม่ควรพลาดการมาเยือนภูเขาเนโบ ที่ซึ่ง “ว่ากันว่า” เป็นจุดที่โมเสส (Moses) ผู้นำชาวยิวที่แหวกทะเลแดงหนีชาวอียิปต์ตามตำนานพระคัมภีร์เก่า เดินทางมาเสียชีวิตที่นี่

เรื่องราวโมเสสกับภูเขาเนโบ

เรื่องราวของโมเสส ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เก่าของชาวยิว และพระคัมภีร์ใหม่ของชาวคริสต์ ตลอดจนการเสนอด้วยภาพยนตร์-การ์ตูน ถูกสร้างขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง แม้ยังไม่มีนักประวัติศาสตร์ใดๆในโลก ว่าโมเสสนั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นกังขาของชาวโลก

เหตุการณ์ในพระคัมภีร์เล่าว่า โมเสส ถูกชุบเลี้ยง และโตมาเป็นเจ้าชายของอียิปต์ที่ค้นพบว่าตัวเองว่า ตนเองมีเชื้อสายเป็นชาวยิว และได้รับอาณัติของพระผู้เป็นเจ้าให้ปลดปล่อยชาวยิวและพากลับไปยังอิสราเอล เรื่องตามตำนานบอกว่าโมเสสใช้พลังอำนาจแหวกทะเลแดงออกเป็น 2 ส่วนแล้วพาชาวยิวเดินข้ามไป ในขณะที่ทหารอียิปต์ที่ไล่ตามมานั้นโดนน้ำทะเลกลืนหายไปหมด

คลิปวิดีโอจากการ์ตูนเรื่อง The Prince of Egypt โมเสสพาชาวยิวหลบหนีข้ามทะเลแดง

อย่างไรก็ตาม โมเสสเดินทางกลับไปไม่ถึงอิสราเอล เพราะเมื่อมาถึงจอร์แดน เห็นดินแดนอิสราเอลอยู่ลิบๆ เขาก็เสียชีวิตลงก่อนจะถึงบ้าน แต่ชาวยิวที่เดินทางมากับเขาก็สามารถกลับคืนสู่อิสราเอลได้ในที่สุด

จุดที่โมเสสเสียชีวิตคือ “ภูเขาเนโบ” (Mount Nebo) บริเวณชายแดนระหว่างจอร์แดนและอิสราเอล ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในจอร์แดน ที่อิงจากประวัติศาสตร์ตามพระคัมภีร์นั่นเอง

ล่องทะเลแดง (Red Sea)

ทะเลแดง (Red Sea) เป็นทะเลในตำนานของพระคัมภีร์ ไบเบิล ที่โมเสสใช้ไม้เท้าแหวกทะเลออกเป็นสองฝั่งเพื่อให้คนเดินข้ามไปได้ ทะเลแดงขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำที่สวยงามที่สุดในโลก

สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเราอาจรู้สึกเฉยๆกับการเที่ยวทะเลที่จอร์เพราะในประเทศไทยมีสานที่ท่องเที่ยวที่เป็นทะเลเยอะ แต่การนั่งเรือเที่ยวชมอ่าวอัคคาบา ดูวิวทิวทัศน์ของ 4 ประเทศที่อยู่รอบอ่าวห่างกันไม่ไกล รวมถึงดูแนวปะการังและซากเรือล่มในอดีตผ่านเรือท้องกระจก ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่พอสมควรสำหรับการเที่ยวแถบตะวันออกกลาง

เรามีเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการเดินทางก่อนไปจอร์แดน

ข้อแนะนำ: ช่วงเดือนพฤศจิกายนถือเป็นเดือนที่เหมาะสมแก่การไปเที่ยวจอร์แดน เพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแต่อากาศยังไม่หนาวจนเกินไป อุณหภูมิอยู่ราว 10-20 องศา (พกเสื้อกันหนาวและหมวกไปด้วย) ส่วนเรื่องฝนนั้นหายากจริงๆ หนึ่งปีมีฝนตกประมาณสิบวันเท่านั้นเอง (เดือนที่ฝนตกเยอะที่สุดคือเดือนกันยายน)

ข้อแนะนำ: อุณหภูมิสูงสุดในช่วงหน้าร้อนเฉลี่ยแล้วประมาณ 32-35 องศา เย็นกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำ และถ้าไปช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิอยู่ประมาณสิบกว่าองศาเท่านั้นเองคะ

นี้เป็นแค่สถานที่เพียงเล็กน้อยที่เรายกมาบอกเล่าต่อ จอร์แดน ยังสถานที่ท่องเที่ยวรอให้คุณได้ค้นหาอีกมากมายหวังว่าทุกท่านคงชอบและคงอยากจะไปเยือนดินแดนทะเลทรายแถบตะวันออกกลางกันมากขึ้นนะคะ…….. 🙂  🙂  🙂  🙂

ก่อนซื้อทัวร์ หรือไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ ศึกษาดูที่นี่ก่อน

ใส่ความเห็น

Note: Comments on the web site reflect the views of their authors, and not necessarily the views of the bookyourtravel internet portal. You are requested to refrain from insults, swearing and vulgar expression. We reserve the right to delete any comment without notice or explanations.

Your email address will not be published. Required fields are signed with *